วันพฤหัสบดีที่ 28 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

การปลูกมะม่วง



สภาพพื้นที่ที่เหมาะสม
         มะม่วงสามารถปลูกและผลิดอกออกผลได้ดีในพื้นที่ทุกจังหวัด และทุกภาคของประเทศ แต่จะให้ผลแตกต่างกันไป ตามสภาพของท้องที่ ยกเว้น บางจังหวัดในภาคใต้ที่มีปริมาณฝนตกมาก และการกระจายของฝนเกือบตลอดปี กล่าวคือ ถ้าปลูกในที่ที่มีฝนตกมากแล้ว จะทำให้มะม่วงเจริญเติบโตทางด้านลำต้นมาก แต่ไม่ออกดอกออกผลเท่าที่ควร การปลกูมะม่วงเป็ฯการค้าและปลูกเป็นจำนวนมากๆ ควรคำนึงถึงสภาพดินฟ้าอากาศที่เหมาะสม ดังต่อไปนี้
1. ปริมาณน้ำ ฝนและความชื้นในอากาศ
       สิ่งสำคัญอย่างหนึ่งในการปลูกมะม่วงคือ ปริมาณนํ้าฝน และความชื้นในอากาศ มะม่วงทั่วๆ ไป ต้องการช่วงแล้งก่อนการออกดอก สำหรับในประเทศไทยซึ่งมีปริมาณนํ้าฝนเฉลี่ย 1,500 มิลลิเมตร ต่อปี และมีช่วงแล้งคั่นระหว่างช่วงที่ฝนตก อาจกล่าวได้ว่าสามารถปลูกมะม่วงได้ทุกภาค นอกจากบางท้องที่ที่มีฝนตกชุกทั้งปี ไม่มีช่วงแล้งคั่นเลย โดยเฉพาะในช่วงเดือนธันวาคม มกราคมและ กุมภาพันธ์ ซึ่ง เป็นระยะที่มะม่วงจะออกดอก ถ้ามีฝนตกหรือความชื้นมาก ยอดที่แตกมาใหม่จะเจริญไปเป็นใบเสียหมด แทนที่จะเจริญเป็นดอก ในสภาพดินฟ้าอากาศเช่นนี้ จึงไม่เหมาะที่จะปลูกมะม่วงเป็นการค้า นอกจากจะปลูกพันธุ์ที่ออกดอกง่าย หรือใช้วิธีการอื่นๆ ช่วยเร่งการออกดอก
        ในระยะที่มะม่วงแทงช่อ ดอกกำ ลังบาน ไม่ควรมีฝนตกเลย หรือมีฝนตกเพียงเล็กน้อย เพราะฝนที่ตกหนักในช่วงนี้จะทำให้ดอกเสียหาย ฝนจะชะละอองเกสรหลุดไปจนหมด ทำให้แมลงต่างๆ ไม่สามารถช่วยผสมเกสรได้ มะม่วงก็จะไม่ติดผล ฝนที่ตกจะทำ ให้ความชื้นของอากาศสูง เหมาะแก่การระบาดของเพลี้ยจั๊กจั่นมะม่วง ชึ่งจะทำลายดอกให้เสียหาย และเกิดเชื้อราดำตามมา ทำให้ดอกและผลอ่อนร่วงเสียหายได้มาก เช่นกัน
2. อุณหภูมิ

         ปกติมะม่วงชอบอากาศร้อน และทนต่ออากาศที่ร้อนและแห้งแล้งได้ ไม่ชอบอากาศที่เย็นจัด ถ้าอากาศเย็นจัดเกินไปต้นมะม่วงอาจตายได้  สำหรับในประเทศไทย ยังไม่พบว่า เกิดความเสียหายเนื่องจากอุณหภูมิร้อนหนาวของอากาศอย่างเด่นชัดนัก จึงสามารถปลูกมะม่วงได้ทุกภาค และเป็นที่สังเกตได้ว่า ปีใดอากาศหนาวมาก ปีนั้นมะม่วงจะออกดอกมาก
 3. ดิน

         มะม่วงปลูกได้ในดินทั่วไป ดินที่มะม่วงชอบดือ ดินร่วน ดินร่วนปนทราย ที่อุดมสมบูรณ์ด้วย อินทรีย์วัตถุ มีธาตุอาหารอย่างเพียงพอ   ที่สำคัญคือดินปลูกต้องระบายน้ำได้ดีมะม่วงไม่ชอบดินที่เหนียวจัด จับกันเป็นก้อนแข็งจนนํ้าระบายไม่ได้    ต้นมะม่วงที่ปลูกในดินที่ระบายนํ้าไม่ดี หรือที่นํ้าขังแฉะจะเติบโตช้า รากไม่ค่อยเจริญ รากดำ และอาจเน่าตายในที่สุด การปลูกมะม่วงจึงนิยมปลูกกันในที่สูง ๆ  เพื่อให้การระบายนํ้าดี ส่วนการปลูกในที่ลุ่มควรยกร่อง เช่นเดียวกับการปลูกไม้ผลอย่างอื่น และปรับปรุงดินให้ร่วน โดยการใส่ปุ๋ยคอก ปุ๋ยหมักให้มากๆ ก่อนที่จะลงมือปลูก
4. ความลึกของหน้าดินและระดับนํ้าในดิน
        
             ความลึกของหน้าดิน และระดับนํ้าในดินจะเป็นสิ่งที่คอยบังคับการเจริญเติบโตของรากมะม่วงและต้นมะม่วง ถ้าระดับความลึกของหน้าดินน้อย มีดินดานอยู่ข้างล่าง หรือดินปลูกมีระดับนํ้าในดินตื้นรากมะม่วงก็ไม่สามารถหยั่งลึกลงไปในดินได้ แต่จะแผ่ขยายอยู่ในระดับตื้นๆ ทำ ให้ต้นมะม่วงไม่เติบโตเท่าที่ควร ต้นมีอายุไม่ค่อยยืนและโค่นล้มได้ง่าย  ดังจะเห็นได้จากต้นมะม่วงที่ปลูกในที่ดินจะมีอายุอยู่ได้นานและต้นใหญ่โตมาก ส่วนการปลูกในที่ลุ่มอายุของต้นมักไม่ค่อยยืน และเติบโตช้ากว่าการปลูกแบบอื่น

5. ความเป็นกรดเป็นด่างของดิน
         
         มะม่วงไม่ชอบดินที่เป็นด่างมาก หรือดินที่มีหินปูนมาก ดินที่เป็นด่างจะทำให้มะม่วงเติบโตช้าโดยเฉพาะต้นอ่อนจะตายง่าย ดินที่เหมาะสำ หรับมะม่วงคือ ดินที่มีสภาพเป็นกรดอ่อนๆ ถึงเป็นกลาง (pH. 6.5 - 7.5)
6. นํ้า
         
         ถึงต้นมะม่วงจะเป็นพืชที่ทนแล้งได้ดี แต่นํ้าก็เป็นสิ่งจำเป็นสำหรับการปลูกมะม่วงเช่นกัน    หากมีนํ้าที่จะให้แก่ต้นมะม่วงอย่างเพียงพอ จะช่วยให้ต้นมะม่วงเติบโตเร็ว แข็งแรง ไม่ชะงักการเติบโต โดยเฉพาะระยะที่มะม่วงกำลังติดผลเล็กๆ ถ้ามีนํ้าให้อย่างเพียงพอ จะทำให้ติดผลได้มาก ผลมักไม่ร่วง การปลูกมะม่วงจึงควรมีแหล่งนํ้าอยู่ใกล้ๆ การพึ่งแต่นํ้าฝนเพียงอย่างเดียวย่อมไม่ได้ผลเท่าที่ควร
7. ลม
      
         ปัญหาอีกประการหนึ่งของการปลูกมะม่วงก็คือ ผลมะม่วงร่วงหล่นเพราะลมแรง ทั้งนี้เนื่องจากก้านผลมะม่วงยาวและแก่วงไกวได้เมื่อลมพัด ทำ ให้ผลกระทบกระแทกกัน ร่วงหล่นมาก บางแห่งผลมะม่วงอาจร่วงหล่นเพราะเหตุนี้เกินกว่าครึ่ง

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น